tag:blogger.com,1999:blog-71809407375995386642024-02-08T12:32:31.311-08:00สารรอบตัวAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/16016375787333261876noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-7180940737599538664.post-25886927446175954692012-08-24T22:57:00.000-07:002012-08-24T22:57:48.932-07:00สารละลาย<h1>
<span class="style2"></span>
</h1>
<strong>สารละลายกรด </strong><br />
<span class="style3"></span>สารละลายกรด (acid solution) คือ สารละลายที่กรดละลายในน้ำ (กรดเป็นตัวละลาย น้ำเป็นตัวทำละลาย) ซึ่งสามารถแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน (H<img height="21" src="http://www.maceducation.com/e-knowledge/2412212100/15-3-1.JPG" width="15" />) เมื่อละลายน้ำ <br />
<strong>สมบัติของสารละลายกรด </strong><br />
<span class="style3"></span>สมบัติของสารละลายกรด มีดังนี้<br />
<span class="style3"></span>1. มีรสเปรี้ยว เช่น น้ำมะนาว (กรดซิตริก) น้ำส้มสายชู (กรดแอซีติก) วิตามินซี (กรดแอสคอร์บิก) เป็นต้น<br />
<span class="style3"></span>2. ทดสอบโดยการใช้กระดาษลิตมัส (มี 2 สี คือ
สีแดงและสีน้ำเงิน) ถ้าใช้กระดาษลิตมัสสีน้ำเงินจะเกิดการเปลี่ยนแปลงสีของ
กระดาษลิตมัสจากสีน้ำเงินเป็นสีแดง
แต่ถ้าใช้กระดาษลิตมัสสีแดงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงสีของกระดาษลิตมัส<br />
<br />
<table border="1" style="width: 200px;">
<tbody>
<tr>
<td><img height="352" src="http://www.maceducation.com/e-knowledge/2412212100/14-1.JPG" width="464" /></td>
</tr>
<tr>
<td><div align="center" class="style7">
รูปแสดงกระดาษลิตมัส</div>
</td>
</tr>
</tbody></table>
<span class="style3"></span>3. ทำปฏิกิริยากับโลหะได้ผลิตภัณฑ์เป็นแก๊สไฮโดรเจน (H<span class="style6">2</span>) เสมอ เช่น <br />
ปฏิกิริยาของโลหะสังกะสีในกรดเกลือ ได้เกลือซิงค์คลอไรด์ (ZnCl<span class="style6">2</span>) กับแก๊สไฮโดรเจน<br />
<img height="79" src="http://www.maceducation.com/e-knowledge/2412212100/14-2.JPG" width="311" /><br />
โลหะที่เกิดปฏิกิริยา เช่น สังกะสี (Zn), แมกนีเซียม (Mg), ทองแดง (Cu), เงิน (Ag), อะลูมิเนียม (Al) เป็นต้น<br />
<span class="style3"></span>4. ทำปฏิกิริยากับสารประกอบคาร์บอเนต (XCO<span class="style6">3</span>; X คือ ธาตุโลหะใดๆ เช่น หินปูน (CaCO<span class="style6">3</span>), โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต (NaHCO<span class="style6">3</span>) หรือผงฟู ได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO<span class="style6">2</span>) เสมอ เช่น<br />
<br />
ปฏิกิริยาของหินปูนกับกรดเกลือ ดังสมการ<br />
<img height="55" src="http://www.maceducation.com/e-knowledge/2412212100/14-3.JPG" width="365" /><br />
เมื่อ ( ) เป็นการบอกสถานะของสารในปฏิกิริยา<br />
- (s) = solid = ของแข็ง<br />
- (l) = liquid = ของเหลว <br />
- (g) = gas = แก๊ส<br />
<em><strong>ข้อควรทราบ</strong></em><br />
- กรดทำปฏิกิริยากับโลหะได้แก๊สไฮโดรเจน (H<span class="style6">2</span>)<br />
- กรดทำปฏิกิริยากับสารประกอบคาร์บอเนตได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO<span class="style6">2</span>) เสมอ<br />
<br />
<span class="style3"></span>5. สารละลายกรดสามารถนำไฟฟ้าได้<br />
<span class="style3"></span>6. ทำปฏิกิริยากับเบสได้เกลือและน้ำ<br />
<br />
<strong>ประเภทของกรด</strong><br />
<span class="style3"></span>กรดแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ <br />
<span class="style5"></span><strong>1. กรดอินทรีย์ </strong>เป็นกรดที่ได้จากสิ่งมีชีวิต มักพบในพืชหรือสัตว์ เพราะมีต้นกำเนิดมาจากสิ่งมีชีวิตนั่นเอง <br />
เช่น <br />
<span class="style3"></span>- HCOOH กรดฟอร์มิก (กรดมด) แหล่งที่พบ เช่น มดแดง เป็นต้น<br />
<span class="style3"></span>- CH<span class="style6">3</span>COOH กรดแอซีติก (กรดน้ำส้ม) แหล่งที่พบ เช่น น้ำส้มสายชู เป็นต้น<br />
<span class="style3"></span>- C<span class="style6">6</span>H<span class="style6">8</span>O<span class="style6">7</span> กรดซิตริก แหล่งที่พบ เช่น ส้ม มะนาว เป็นต้น<br />
<span class="style3"></span>- C<span class="style6">6</span>H<span class="style6">8</span>O<span class="style6">6</span> กรดแอสคอร์บิก แหล่งที่พบ เช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขามป้อม เป็นต้น<br />
<span class="style3"></span>- C<span class="style6">3</span>H<span class="style6">6</span>O<span class="style6">3</span>กรดแลกติก แหล่งที่พบ เช่น น้ำนม เป็นต้น<br />
<span class="style3"></span>- C<span class="style6">14</span>H<span class="style6">10</span>O<span class="style6">9</span> กรดแทนนิก แหล่งที่พบ เช่น ชา เป็นต้น<br />
<span class="style5"></span><strong>2. กรดอนินทรีย์ (กรดแร่ธาตุ)</strong>
เป็นกรดที่เกิดจากแร่ธาตุ ไม่ได้มาจากสิ่งมีชีวิต
ดังนั้นอำนาจการกัดกร่อนจึงสูงกว่ากรดอินทรีย์ และบางชนิดก็เป็นกรดแก่
ซึ่งมีอำนาจการกัดกร่อนสูง<br />
เช่น <br />
<span class="style3"></span>- H<span class="style6">2</span>SO<span class="style6">4</span> กรดซัลฟิวริก (กรดกำมะถัน) แหล่งที่พบ เช่น ผงซักฟอก ปุ๋ย แบตเตอรี่รถยนต์ เป็นต้น<br />
<span class="style3"></span>- HCl กรดไฮโดรคลอริก (กรดเกลือ) แหล่งที่พบ เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำ อยู่ในกระเพาะอาหารของมนุษย์ เป็นต้น <br />
<span class="style3"></span>- H<span class="style6">2</span>CO<span class="style6">3</span> กรดคาร์บอนิก แหล่งที่พบ เช่น น้ำโซดา น้ำอัดลม เป็นต้น<br />
<br />
<strong>สารละลายเบส </strong><br />
<span class="style3"></span>สารละลายเบส (base solution) คือ
สารละลายที่เบสละลายในน้ำ (เบสเป็นตัวละลาย น้ำเป็นตัวทำละลาย)
ซึ่งสามารถแตกตัวให้ไฮดรอกไซด์ไอออน (OH<img height="22" src="http://www.maceducation.com/e-knowledge/2412212100/15-3.JPG" width="13" />) เมื่อละลายน้ำ<br />
<strong>สมบัติของสารละลายเบส</strong><br />
<span class="style3"></span>สมบัติของสารละลายเบส มีดังนี้<br />
<span class="style3"></span>1. มีรสฝาด ขม<br />
<span class="style3"></span>2. เมื่อสัมผัสจะลื่นมือ<br />
<span class="style3"></span>3. ทดสอบกับกระดาษลิตมัส
ถ้าใช้กระดาษลิตมัสสีแดงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงสีของกระดาษลิตมัสจากสีแดงป็น
สีน้ำเงิน
แต่ถ้าใช้กระดาษลิตมัสสีน้ำเงินจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงสีของกระดาษลิตมัส<br />
<span class="style3"></span>4. ทำปฏิกิริยากับเกลือแอมโมเนีย (NH<span class="style6">4</span>Y; Y = ธาตุโลหะ เช่น คลอรีน (Cl) ได้เป็นแอมโมเนียมคลอไรด์ (NH<span class="style6">4</span>Cl) จะได้น้ำและแอมโมเนีย (NH<span class="style6">3</span>) เป็นผลิตภัณฑ์เสมอ เช่น<br />
<span class="style5"></span># ปฏิกิริยาของด่างคลี (NaOH, โซเดียมไฮดรอกไซด์) กับเกลือแอมโมเนียมคลอไรด์<br />
<img height="55" src="http://www.maceducation.com/e-knowledge/2412212100/14-5.JPG" width="350" /><br />
<span class="style3"></span>5. ไม่ทำปฏิกิริยากับโลหะ ยกเว้น อะลูมิเนียม (Al) ที่เมื่อทำปฏิกิริยาแล้วจะได้แก๊สไฮโดรเจน (H<span class="style6">2</span>)<br />
<span class="style3"></span>6. ผสมกับน้ำมันหรือไขมัน จะได้สบู่และกลีเซอรอล เรียกปฏิกิริยานี้ว่า<strong> ปฏิกิริยาการเกิดสบู่ (saponification reaction) </strong><br />
<span class="style3"></span>7. สารละลายเบสนำไฟฟ้าได้<br />
<span class="style3"></span>8. ทำปฏิกิริยากับกรดได้เกลือและน้ำ <br />
<strong>ค่า pH ของสารละลายกรด - เบส</strong><br />
<span class="style3"></span>pH มาจาก potential of hydrogen ion
ซึ่งสามารถใช้บอกความเป็นกรด-เบสของสารละลายได้ ซึ่งค่า pH
มีความสัมพันธ์กับความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออน (H<span class="style6">3</span>O<img height="21" src="http://www.maceducation.com/e-knowledge/2412212100/15-3-1.JPG" width="15" />)
ซึ่งปริมาณของไฮโดรเนียมไอออนยิ่งมาก (สารละลายกรด) ค่า pH จะน้อย
แต่ถ้าปริมาณของไฮโดรเนียมไอออนน้อย (สารละลายเบส) ค่า pH จะมาก ซึ่งค่า pH
สามารถบอกความเป็นกรด-เบส ได้ดังนี้<br />
<span class="style5"></span># pH = 7 สารละลายมีสมบัติเป็นกลาง<br />
<span class="style5"></span># pH > 7 สารละลายมีสมบัติเป็นเบส ยิ่งมี pH มาก ยิ่งเป็นเบสที่แรงขึ้น<br />
<span class="style5"></span># pH < 7 สารละลายมีสมบัติเป็นกรด ยิ่งมี pH น้อย ยิ่งเป็นกรดที่แรงขึ้น<br />
<br />
<img height="59" src="http://www.maceducation.com/e-knowledge/2412212100/14-6.JPG" width="373" /><br />
<strong><br />
ตัวอย่าง </strong>กำหนดให้ สารละลาย A มีค่า pH = 9 สารละลาย B มีค่า pH =
8 สารละลาย C มีค่า pH = 3 สารละลาย D มีค่า pH = 5 จากสารละลาย A, B, C
และ D สามารถสรุปได้อย่างไร<br />
- ระหว่างสารละลาย A กับสารละลาย B พบว่าสารละลาย A เป็นเบสที่แรงกว่าสารละลาย B (pH มากกว่า)<br />
- ระหว่างสารละลาย C กับสารละลาย D พบว่าสารละลาย C เป็นกรดแรงกว่าสารละลาย D (pH น้อยกว่า)<strong> ตอบ</strong><br />
<br />
<br />
<strong>สารละลายกรด-เบสในชีวิตประจำวัน</strong><br />
<span class="style3"></span>ชีวิตประจำวันในปัจจุบัน เราได้ใช้สารต่างๆ
ที่มีสมบัติเป็นกรด-เบสทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งใช้ในการเป็นยารักษาโรค
(ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร) กำจัดสิ่งสกปรก (สบู่ ผงซักฟอก) ปรุงอาหาร
(น้ำส้มสายชู) นอกจากนี้ ในร่างกายก็ประกอบด้วยสารที่มีสมบัติเป็นกรด-เบส
เช่น กรดเกลือในกระเพาะอาหาร น้ำดีจากตับ มีสมบัติเป็นเบส เป็นต้น
สารที่มีสมบัติเป็นกรด-เบสในชีวิตประจำวัน เช่น<br />
<span class="style5"></span><strong>1. สารทำความสะอาดเครื่องสุขภัณฑ์ </strong>ซึ่งมักมีส่วนประกอบของกรดเกลือหรือกรดไฮโดรคลอริก (HCl) กรดไนตริก (HNO<span class="style6">3</span>)
ซึ่งมีสมบัติเป็นกรด
กรดมีสมบัติในการทำปฏิกิริยากับแผ่นกระเบื้องพื้นห้องน้ำ
ทำให้เกิดการสึกกร่อน ทำให้สิ่งสกปรกหลุดออกจากพื้นและสุขภัณฑ์ต่างๆ ได้
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นดังสมการ<br />
<img height="90" src="http://www.maceducation.com/e-knowledge/2412212100/14-7.JPG" width="347" /> <br />
<span class="style3"></span>การใช้น้ำยาล้างห้องน้ำที่มีส่วนประกอบ
ของกรดเกลือ (HCl) นี้ต้องใช้อย่างระมัดระวัง
เพราะเกิดแก๊สที่เป็นพิษเข้าสู่หลอดลม เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ<br />
<span class="style3"><strong></strong></span><strong>2. สารปรุงแต่งอาหาร</strong> มีทั้งที่มีสมบัติเป็นกรดและเบส เช่น <br />
<span class="style3"></span>- สารปรุงแต่งอาหารที่มีสมบัติเป็นกรด เช่น กรดแอซีติกในน้ำส้มสายชู กรดซิตริกในน้ำมะนาว น้ำมะขาม กรดแอสคอร์บิกในวิตามินซี เป็นต้น<br />
<span class="style3"></span>- สารปรุงแต่งอาหารที่มีสมบัติเป็นเบส เช่น น้ำปูนใส (Ca(OH)<span class="style6">2</span>), น้ำขี้เถ้า (NaOH), ผงฟู (NaHCO<span class="style6">3</span>) เป็นต้น<br />
<span class="style5"></span><strong>3. สารในภาคเกษตรกรรม</strong> ได้แก่ ปุ๋ย ซึ่งมีทั้งที่มีสมบัติเป็นกรดและเบส เช่น<br />
<span class="style3"></span>- ปุ๋ยที่มีสมบัติเป็นกรด เช่น ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต ((NH<span class="style8">4</span>)<span class="style8">2</span>SO<span class="style8">4</span>) ปุ๋ยแอมโมเนียมคลอไรด์ (NH<span class="style6">4</span>Cl) เป็นต้น<br />
<span class="style3"></span>- ปุ๋ยที่มีสมบัติเป็นเบส เช่น ปุ๋ยยูเรีย (NH<span class="style6">2</span>CONH<span class="style6">2</span>) ปุ๋ยแอมโมเนีย (NH<span class="style6">3</span>) เป็นต้น<br />
<span class="style3"><strong></strong></span><strong>4. ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร</strong> จะมีส่วนประกอบที่มีสมบัติเป็นเบสอ่อน เช่น โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต (NaHCO<span class="style6">3</span>), แคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO<span class="style6">3</span>), แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ (Mg (OH)<span class="style6">2</span>, อะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (Al<span class="style6">2</span>O<span class="style6">3</span>) โดยสารละลายนี้จะไปทำปฏิกิริยากับกรด ซึ่งจะปรับสภาพความเป็นกรดในกระเพาะอาหารให้ลดลงได้ <br />
<br />
<em><strong>ข้อควรทราบ</strong></em><br />
1. ยาลดกรดที่ประกอบด้วย Mg(OH)<span class="style6">2</span> และ MgCO<span class="style6">3</span> จะเป็นยาระบายแก้ท้องผูก<br />
2. ยาลดกรดทีมี MgCO<span class="style6">3</span>และ NaHCO<span class="style6">3</span>จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ<br />
3. ยาลดกรดที่มีหินปูน (CaCO<span class="style6">3</span>) อาจทำให้เกิดอาการท้องผูก รวมทั้งอาจก่อให้เกิดโรคนิ่วได้<br />
<br />
<span class="style5"></span><strong>5. สารที่ใช้ทำความสะอาด </strong>เช่น สบู่ ผงซักฟอก เป็นต้น ประกอบด้วยสารที่มีสมบัติเป็นเบส<br />
<span class="style5"></span># สบู่ คือ
เกลือโซเดียมหรือโพแทสเซียมของกรดไขมัน
ผลิตหรือเตรียมได้จากน้ำมันหรือไขมันกับเบส โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) หรือ
โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH) <br />
<table border="1" style="width: 200px;">
<tbody>
<tr>
<td><div align="center">
<img height="122" src="http://www.maceducation.com/e-knowledge/2412212100/14-4.JPG" width="298" /></div>
</td>
</tr>
<tr>
<td><div align="center" class="style7">
รูปแสดงโครงสร้างของสบู่</div>
</td>
</tr>
</tbody></table>
<br />
<span class="style5"></span>สบู่สามารถชำระล้างสิ่งสกปรกได้
โดยหันปลายข้างที่ไม่มีขั้วไปละลายคราบไขมัน ส่วนด้านที่มีขั้วหันเข้าหาน้ำ
ทำให้คราบไขมันแตกตัวและถูกล้อมรอบด้วยโมเลกุลของสบู่
ทำให้คราบไขมันนั้นหลุดออกจากผิวได้<br />
<span class="style5"></span># ผงซักฟอก คือ เกลือโซเดียมซัลโฟเนตของกรดไขมัน มีโครงสร้าง 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่มีขั้วและไม่มีขั้ว จัดเป็นสารลดแรงตึงผิว<br />
<em><strong>ข้อควรทราบ</strong></em><br />
<span class="style5"></span>สารลดแรงตึงผิวทำให้ช่วยขจัดคราบไขมัน สิ่งสกปรกออกจากเสื้อผ้าได้<br />
<span class="style5"></span>การทำความสะอาดของสบู่จะแตกต่างจากผงซักฟอกใน
น้ำกระด้าง (น้ำที่มีองค์ประกอบของแคลเซียมไอออน และแมกนีเซียมไอออน)
ซึ่งผงซักฟอกสามารถทำความสะอาดได้ในน้ำกระด้าง
แต่สบู่เกิดคราบไคลสบู่ขึ้นทำให้ฟองน้อย ประสิทธิภาพการทำความสะอาดต่ำAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/16016375787333261876noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7180940737599538664.post-10599387625731461162012-08-24T20:22:00.000-07:002012-08-24T20:22:37.598-07:00สารละลาย<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 975px;"><tbody>
<tr><td bgcolor="#FFCC66" colspan="5"><div align="center">
<strong><u>สารละลาย (Solution) </u></strong><strong></strong></div>
</td>
</tr>
<tr>
<td> </td>
<td align="left" colspan="4" valign="top"> สารละลาย (Solution) หมายถึง ของผสมเนื้อเดียวที่เกิดจากสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ 2 ชนิด ขึ้นไป รวมกัน<br />
ทางกายภาพในปริมาณที่ไม่แน่นอน ตัวที่มีปริมาณมากกว่าเป็น<strong>ตัวทำละลาย (</strong><strong>Solvent)</strong> ตัวที่มีปริมาณน้อยกว่า<br />
เป็น<strong>ตัวถูกละลาย (</strong><strong>solute)</strong> มีสถานะ เช่นเดียวกับตัวทำละลายและสมบัติก้ำกึ่งระหว่างสารที่มาผสมกัน อนุภาค<br />
ตัวถูกละลายขนาดเล็กกว่า 10-7 cm สามารถผ่านกระดาษเซลโลเฟนได้ เช่น สารละลายเกลือแกง สารละลายน้ำตาล เป็นต้น</td>
</tr>
<tr>
<td bgcolor="#FFCC66" colspan="5"><div align="center">
<strong>หลักในการพิจารณาสารที่เป็นตัวทำละลาย</strong><strong> </strong><br clear="all" />
</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td> </td>
<td colspan="3"><ul>
<li><span dir="ltr">สารละลายที่เกิดจากสารต่างสถานะกัน
สารที่มีสถานะเดียวกับสารละลาย
จะเป็นตัวทำละลายสารที่มีสถานะต่างจากสารละลายจะเป็นตัวถูกละลาย เช่น น้ำ
+ น้ำตาล </span>= น้ำเชื่อม</li>
<li><span dir="ltr">สารละลายที่เกิดจากตัวทำละลายและตัวถูกละลายที่
มีสถานะเดียวกัน สารที่มีปริมาณมากกว่าจะเป็นตัวทำละลาย
ในขณะที่สารที่มีปริมาณน้อยกว่าเป็นตัวถูกละลาย เช่น เอทธานอล </span>70 % แสดงว่า เอทธานอลเป็นตัวทำละลาย และน้ำเป็นตัวถูกละลาย</li>
</ul>
สารละลายที่ควรรู้จัก เช่น <br />
สารละลาย
= ตัวประกอบ +
ตัวถูกละลาย<br />
Solution
= Solvent
+ Solute<br />
ทิงเจอร์
= C2H5OH
+ Solute<br />
Aqueous (aq)
= H2O
+ Solute<br />
เงินอะมัลกรัม
= Ag
+ Hg<br />
</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td bgcolor="#FFCC66" colspan="5"><div align="center">
<strong>ตารางแสดงชนิดตัวทำละลายและตัวถูกละลาย</strong><strong> </strong><br />
</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td> </td>
<td align="center" colspan="3"><table border="1" cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td valign="top" width="148"><strong>ชนิดของสารละลาย</strong></td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
<strong>สถานะ</strong><strong> </strong></div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
<strong>ตัวทำละลาย</strong><strong> </strong></div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
<strong>ตัวถูกละลาย</strong><strong> </strong></div>
</td>
</tr>
<tr>
<td valign="top" width="148">นาก </td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
S</div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
Cu 55%</div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
Au 45%</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td valign="top" width="148">เหรียญห้าบาท </td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
S</div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
Cu 75%</div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
Ni 25%</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td valign="top" width="148">ทองสำริด </td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
S</div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
Cu 80%</div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
Sn 20%</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td valign="top" width="148">ฟิวส์ไฟฟ้า </td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
S</div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
Bi 50%</div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
Pb 25% Sn 25%</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td valign="top" width="148">เหล็กกล้า </td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
S</div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
Fe</div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
</div>
Cr, Ni , C
</td>
</tr>
<tr>
<td valign="top" width="148">ทอง 18 K</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
S</div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
Au 75%</div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
Ag 25%</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td valign="top" width="148">น้ำส้มสายชู</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
l</div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
H2O 94%</div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
CH3COOH 6%</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td valign="top" width="148">ก๊าซหุงต้ม LPG</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
l</div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
C3H8 70%</div>
</td>
<td valign="top" width="148"><div align="center">
C4H10 30%</div>
</td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td bgcolor="#FFCC66" colspan="5"><div align="center">
<strong>ตารางของสารละลายตามสถานะ</strong><strong> </strong><br />
</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td> </td>
<td align="center" colspan="3"><table border="1" cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td valign="top" width="206"><div align="center">
<strong>สถานะ</strong><strong> </strong></div>
</td>
<td valign="top" width="136"><div align="center">
<strong>ตัวทำละลาย</strong><strong> </strong></div>
</td>
<td valign="top" width="136"><div align="center">
<strong>ตัวถูกละลาย</strong><strong> </strong></div>
</td>
<td valign="top" width="138"><div align="center">
<strong>ตัวอย่าง</strong><strong> </strong></div>
</td>
</tr>
<tr>
<td valign="top" width="206">ก๊าซ </td>
<td valign="top" width="136">ก๊าซ <br />
ก๊าซ <br />
ก๊าซ </td>
<td valign="top" width="136">ก๊าซ <br />
ของเหลว <br />
ของแข็ง</td>
<td valign="top" width="138">อากาศ <br />
ไอน้ำในอากาศ <br />
แนพธาลีนในอากาศ </td>
</tr>
<tr>
<td valign="top" width="206">ของเหลว </td>
<td valign="top" width="136">ของเหลว <br />
ของเหลว <br />
ของเหลว </td>
<td valign="top" width="136">ก๊าซ <br />
ของเหลว <br />
ของแข็ง </td>
<td valign="top" width="138">น้ำโซดา <br />
น้ำกรด <br />
น้ำเกลือ </td>
</tr>
<tr>
<td valign="top" width="206">ของแข็ง </td>
<td valign="top" width="136">ของแข็ง <br />
ของแข็ง <br />
ของแข็ง </td>
<td valign="top" width="136">ก๊าซ <br />
ของเหลว <br />
ของแข็ง </td>
<td valign="top" width="138">H2 ใน PT<br />
อะมัลกรัม <br />
ทองเหลือง</td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td bgcolor="#FFCC66" colspan="5"><div align="center">
<strong>การเรียกชื่อสารละลาย</strong><strong> </strong><br />
</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td> </td>
<td colspan="3">
ถ้าสารละลายนั้นมีน้ำเป็นตัวทำละลาย จะขึ้นต้นด้วยคำว่า สารละลาย
แล้วตามด้วยชื่อตัวถูกละลาย เช่น สารละลายโซเดียมคลอไรด์
สารละลายกรดอะซิติก <br />
ถ้าสารละลายมีสารอื่นที่ไม่ใช่น้ำเป็นตัวทำละลาย
จะขึ้นต้นด้วยคำว่า สารละลาย ตามด้วยชื่อ ตัวถูกละลาย และคำว่า ในตามด้วย
ตัวทำละลาย เช่น สารละลายคลอรีนในคาร์บอนเตตระคลอไรด์
สารละลายไอโอดีนในเฮกเซน เป็นต้น </td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td bgcolor="#FFCC66" colspan="5"><div align="center">
<strong>ชนิดของสารละลาย</strong><strong> </strong><br />
</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td> </td>
<td colspan="3"> 1<strong>. </strong><strong>สารละลายอิ่มตัว ( </strong><strong>Saturated Solution </strong><strong>) </strong> หมาย
ถึง สารละลายที่มีตัวถูกละลายอยู่อย่างเต็มที่ (มากที่สุด)
ในหนึ่งหน่วยปริมาตรของตัวทำละลาย และไม่สามารถละลายเพิ่มเข้าไปได้อีก ณ
อุณหภูมิคงที่ <br />
2. <strong>สารละลายไม่อิ่มตัว (</strong><strong>Unsaturated Solution </strong><strong>) </strong>หมาย
ถึง สารละลายที่มีตัวถูกละลาย ละลายอยู่น้อยกว่าที่มันควรจะละลายได้
ถ้าเพิ่มตัวถูกละลายเข้าไปอีก
มันก็จะละลายได้อีกโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ แบ่งเป็น<br />
2.1<strong> </strong><strong>สารละลายเจือจาง (</strong><strong>Dilute Solution</strong><strong>)</strong> หมายถึง สารละลายที่มีปริมาณตัวถูกละลายละลายอยู่น้อย <br />
2.2 <strong>สารละลายเข้มข้น (</strong><strong>Concentration Solution</strong><strong>)</strong> หมายถึง สารละลายที่มีตัวถูกละลายอยู่มาก
<br />
</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td bgcolor="#FFCC66" colspan="5"><div align="center">
<strong>เกณฑ์การแบ่งสารละลาย</strong><strong> </strong><br />
</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td> </td>
<td colspan="3"><strong>สารละลาย</strong><strong> </strong><br />
1. ใช้สถานะของสารละลายเป็นเกณฑ์ แบ่งออกได้ 3 ชนิดคือ <br />
1.1 สารละลายที่เป็นของแข็ง เช่น ทองเหลือง นาก เป็นต้น <br />
1.2 สารละลายที่เป็นของเหลว เช่น น้ำเชื่อม น้ำส้มสายชู เป็นต้น <br />
1.3 สารละลายที่เป็นก๊าซ เช่น อากาศ ก๊าซผสมต่าง ๆ <br />
2. ใช้สถานะของตัวทำละลายและสถานะของตัวถูกละลายเป็นเกณฑ์ <br />
3. ใช้ปริมาณของตัวถูกละลายในสารละลายเป็นเกณฑ์ </td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td bgcolor="#FFCC66" colspan="5"><div align="center">
<strong>ความสามารถในการละลายได้ของสาร</strong><strong> </strong><br />
</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td> </td>
<td colspan="3">ณ อุณหภูมิเดียวกัน สารแต่ละชนิดละลายไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้คือ <br />
1. ชนิดของตัวทำละลาย <br />
2. ชนิดของตัวถูกละลาย <br />
3. ความดัน ในกรณีที่ตัวถูกละลายมีสถานะเป็นก๊าซ ถ้าความดันเพิ่มจะละลายได้มากขึ้น <br />
4. อุณหภูมิความสามารถในการละลายของสารบางชนิดเพิ่มขึ้น
เมื่ออุณหภูมิเพิ่ม แต่บางชนิดละลายได้น้อยลง (ตกตะกอนผลึกออกมา)
เมื่ออุณหภูมิเพิ่ม ดังกราฟปริมาณตัวถูกละลายกับอุณหภูมิ </td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td bgcolor="#FFCC66" colspan="5"><div align="center">
<strong>ปัจจัยที่มีผลต่อการละลายของสาร</strong><strong> </strong><br />
</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td> </td>
<td colspan="3">1.ชนิดของตัวทำละลาย <br />
2.ชนิดของตัวถูกละลาย <br />
3.ความดัน ในกรณีที่ตัวละลายมีสถานะเป็นก๊าซ ถ้าความดันเพิ่มจะละลายได้มากขึ้น <br />
4.อุณหภูมิ
<br />
</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td bgcolor="#FFCC66" colspan="5"><div align="center">
<strong>การตรวจสอบสารละลายบริสุทธิ์</strong><strong> </strong><br />
</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td> </td>
<td colspan="3"><strong>1.หาจุดเดือด </strong><br />
คือ นำสารละลายมาหาจุดเดือด
ถ้าสารละลายนั้นมีจุดเดือดคงที่หรือมีอุณหภูมิขณะเดือดคงที่
แสดงว่าสารละลายนั้นเป็นสารบริสุทธิ์
แต่ถ้ามีอุณหภูมิขณะเดือดไม่คงที่แสดงว่าสารละลายนั้นไม่ใช่สารละลาย
บริสุทธิ์ <br />
<strong>2.หาจุดหลอมเหลว </strong><br />
คือ นำสารละลายมาหาจุดหลอมเหลว
ถ้าเป็นสารบริสุทธิ์จะมีจุดหลอมเหลวคงที่
และมีช่วงอุณหภูมิของการหลอมเหลวแคบ แต่ถ้าเป็นสารละลาย
จุดหลอมเหลวจะไม่คงที่ และมีช่วงอุณหภูมิของการหลอมเหลวกว้าง <br />
<strong>3. การระเหยแห้ง</strong> <br />
คือ ถ้านำสารลายไประเหยแห้ง
แล้วพบว่ามีของแข็งเหลืออยู่ แสดงว่าสารนั้นเป็นสารละลาย
แต่ถ้าไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า
สารนั้นเป็นสารบริสุทธิ์ ต้องนำไปหาจุดเดือด จุดหลอมเหลวต่อไป <br />
</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td bgcolor="#FFCC66" colspan="5"><div align="center">
<strong>จุดเดือดของสารละลายและสารบริสุทธิ์</strong><strong> </strong><br />
</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td> </td>
<td colspan="3">“จุดเดือดของสารบริสุทธิ์จะ<strong>คงที่</strong> และมีช่วงของอุณหภูมิขณะเดือด<strong>แคบ ๆ</strong>” <br />
“จุดเดือดของสารละลาย<strong>ไม่คงที่</strong> และมีช่วงของอุณหภูมิขณะเดือด<strong>กว้าง</strong>”<br />
<ol>
<li><span dir="ltr">จุดเดือดของสารละลายเปลี่ยนแปลง (ไม่คงที่) เพราะอัตราส่วนระหว่างตัวทำละลายกับตัวถูกละลายในสารละลายเปลี่ยนไปขณะกำลังเดือด</span> </li>
</ol>
<strong><u>หมายเหตุ</u></strong>
ยกเว้นสารละลายบางชนิดที่มีองค์ประกอบพอเหมาะจะมีจุดเดือดคงที่ได้
เราเรียกว่า อะซีโอโทป ( Azeotropic mixture) เช่น เอทธานอล 95%
มีจุดเดือดคงที่ 78.2 0C กรดไฮโดรคลอริก 20.22% มีจุดเดือดคงที่ที่
108.6 0C</td>
<td> </td>
</tr>
<tr>
<td> </td>
<td colspan="3"> </td></tr>
</tbody></table>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/16016375787333261876noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7180940737599538664.post-22976719036471246702012-08-24T19:52:00.001-07:002012-08-24T20:02:24.394-07:00บทเรียน <br /><br /> วิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 : สารและสมบัติของสาร<br /> <br />ระดับชั้น : มัธยมต้น<br /><br />เซลล์ของสิ่งมีชีวิต <br />พืช <br />สารและสมบัติของสาร <br />สารละลาย<br /> สารละลายกรด-เบส <br />การแยกสาร<br />งานและพลังงาน <br />แรงและการเคลื่อนที่ <br />ปรากฎการณ์เกี่ยวกับอวกาศในชีวิตประจำวัน<br />การจำแนกสารและสมบัติของสาร<br />สสาร (matter) คือ สิ่งที่มีมวลต้องการที่อยู่ และสามารถสัมผัสได้ หรืออาจหมายถึงสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา มีตัวตน ต้องการที่อยู่ สัมผัสได้ มองเห็น หรือมองไม่เห็นก็ได้ เช่น อากาศ เป็นต้น นักวิทยาศาสตร์ได้เรียกสสารที่รู้จักว่า สาร<br />สาร (substance) คือ สสารที่ศึกษาค้นคว้าจนทราบสมบัติ และองค์ประกอบที่แน่นอน ซึ่งก็คือเนื้อของสสารนั่นเอง<br /><br />สมบัติของสาร<br /><br />สารแต่ละชนิดมีลักษณะบางประการที่คล้ายคลึงกันจึงจัดเป็นสมบัติทั่วไปของสาร เช่น โลหะและอโลหะ เป็นต้น สารทุกชนิดมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากสารอื่น จัดเป็นสมบัติเฉพาะตัวที่ใช้ระบุชนิดของสารนั้นๆ ได้ เช่น จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความหนาแน่น ความเป็นกรด-เบส รูปผลึก เป็นต้น<br /><br />นักวิทยาศาสตร์ได้แบ่งสมบัติของสารออกเป็น 2 ประเภท คือ<br /> สมบัติทางกายภาพ หมายถึง สมบัติของสารที่สามารถสังเกตได้จากลักษณะภายนอก หรือจากการทดลองที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี เช่น สถานะ เนื้อสาร รูปร่าง สี กลิ่น รส ความหนาแน่น จุดเดือด จุดหลอมเหลว การนำไฟฟ้า การละลายน้ำ ความแข็ง ความเหนียว เป็นต้น<br />
<br /><br /> สมบัติทางเคมี (chemical properties) หมายถึง สมบัติที่เกี่ยวข้องกับการเกิดปฏิกิริยาเคมีและองค์ประกอบทางเคมีของสาร เช่น การติดไฟ การผุกร่อน การทำปฏิกิริยากับน้ำ การทำปฏิกิริยากับกรดหรือเบส เป็นต้น<br /><br />ปฏิกิริยาเคมี คือ การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดสารใหม่<br /><br /><br />ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของสารแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ<br /><br /> การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับสมบัติทางกายภาพของสาร เช่น การเปลี่ยนสถานะ การละลายน้ำ การหลอมเหลว และการเดือด เป็นต้น "การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพจะต้องไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดปฏิกิริยาเคมีและไม่มีสารใหม่เกิดขึ้น" หลังจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพสมบัติ ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ได้แก่<br /><br /> การระเหิดของลูกเหม็น เป็นการเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นไอ<br /> การละลายน้ำของเกลือแกง เป็นการเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นสารละลาย<br /> การระเหยของน้ำ เป็นการเปลี่ยนแปลงสถานะจากของเหลวเป็นไอ<br /><br /> การเปลี่ยนแปลงทางเคมี หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี "หลังจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมี จะต้องมีสารใหม่เกิดขึ้นเสมอ" สารใหม่ที่เกิดขึ้นนี้จะมีองค์ประกอบและสมบัติทางเคมีแตกต่างจากสารเดิม ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ได้แก่<br /><br /> โลหะโซเดียมทำปฏิกิริยากับน้ำ <br /> ได้สารใหม่ คือ<br /> โซเดียมไฮดรอกไซด์ และก๊าซไฮโดรเจน<br /> การเผาไหม้ของลูกเหม็น <br /> ได้สารใหม่ คือ<br /> ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ<br /> การเกิดสนิมเหล็ก <br /> ได้สารใหม่ คือ<br /> ออกไซด์ของเหล็ก<br /> การเผาไหม้ของไม้ <br /> ได้สารใหม่ คือ<br /> น้ำ และ คาร์บอนไดออกไซด์ <br /><br />โดยทั่วๆ ไปการเปลี่ยนแปลงของสารสามารถมีทั้งการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและการเปลี่ยนแปลงทางเคมีควบคู่กันไป<br /><br />ข้อเปรียบเทียบระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพกับทางเคมี<br /><br />การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ<br /> <br /><br />การเปลี่ยนแปลงทางเคมี<br /><br /> ไม่เกิดปฏิกิริยาเคมี<br /> ไม่มีสารใหม่เกิดขึ้น<br /> ภายหลังการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและสมบัติทางเคมีของสารจะเหมือนเดิม แต่รูปร่างภายนอกอาจแตกต่างจากเดิม<br /> ทำให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้ง่าย<br /><br /> <br /><br /> เกิดปฏิกิริยาเคมี<br /> มีสารใหม่เกิดขึ้น<br /> ภายหลังการเปลี่ยนแปลงสารใหม่ที่ได้จะมีองค์ประกอบและสมบัติทางเคมีแตกต่างจากเดิม<br /> ทำให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้ยาก<br /><br /><br />สถานะของสาร<br /><br />นักวิทยาศาสตร์ได้จำแนกสถานะของสารออกเป็น 3 สถานะ คือ<br /><br /> ของแข็ง (solid) หมายถึง สารที่มีลักษณะรูปร่างไม่เปลี่ยนแปลง และมีรูปทรงเฉพาะตัว เนื่องจากอนุภาคในของแข็งจัดเรียงตัวชิดติดกันและอัดแน่นอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีการเคลื่อนที่ แต่มีการสั่นได้อย่างเบาๆ หรือเคลื่อนไหวได้เล็กน้อย ไม่สามารถทะลุผ่านได้ และไม่สามารถบีบอัดให้มีขนาดเล็กลงได้ เช่น ไม้ เหล็ก ทองคำ หิน ดิน เป็นต้น<br /><br /><br /> ของเหลว (liquid) หมายถึง สารที่มีลักษณะไหลได้มีขนาดและรูปร่างไม่แน่นอน เนื่องจากโมเลกุลยึดเหนี่ยวกันอย่างหลวมๆ มีรูปร่างเปลี่ยนไปตามภาชนะที่ใส่ ปริมาตรเปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับแรงกดดันและอุณหภูมิ มีการแพร่ เช่น ปรอท น้ำ ฯลฯ<br /><br /><br /> ก๊าซ (gas) หมายถึง สารหรือสสารที่มีขนาดรูปร่างไม่แน่นอน มีลักษณะฟุ้งกระจายเต็มภาชนะที่บรรจุ อยู่อย่างอิสระ เนื่องจากโมเลกุลยึดเหนี่ยวกันน้อยมาก อนุภาคไม่ยึดติดกันจึงสามารถเคลื่อนที่ได้ในระยะใกล้ๆ และมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน เปลี่ยนแปลงรูปร่างตามภาชนะ ปริมาตรเปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับแรงกดดันและอุณหภูมิสูง มีการแพร่ เช่น ไฮโดรเจน ฮีเลียม ฯลฯ<br /><br />การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร<br /><br />การเปลี่ยนแปลงสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว เช่น การเปลี่ยนแปลงของน้ำแข็งที่ใส่แก้วทิ้งไว้ น้ำแข็งจะค่อยๆ หลอมเหลวกลายเป็นน้ำ ซึ่งเราเรียกอีกอย่างว่า การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ไม่มีสารเกิดขึ้นใหม่ น้ำแข็งที่กลายเป็นน้ำ ยังคงมีองค์ประกอบทางเคมีเหมือนเดิม<br /><br /> การเปลี่ยนสถานะของสารจากของแข็งเป็นของเหลว เนื่องจากได้รับความร้อนทำให้อนุภาคมีพลังงานจลน์ (ได้จากการเคลื่อนที่) เกิดการเคลื่อนไหวเร็วขึ้นมีการถ่ายเทพลังงานจลน์ให้กันและกันเมื่อถึงจุดจุดหนึ่งโมเลกุลก็จะเคลื่อนที่ห่างออกจากกัน แรงยึดเหนี่ยวน้อยลง เรียกว่า การละลาย การหลอมเหลว หรือ การหลอมละลาย<br /><br /> การเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นก๊าซ เกิดจากอนุภาคได้รับความร้อนพลังงานจลน์เพิ่มขึ้นอนุภาคห่างกัน จนไม่มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างกัน เรียกว่า การระเหย<br /><br /> การเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นก๊าซ เกิดจากอนุภาคได้รับความร้อนสูง จนแรงยึดเหนี่ยวหลุดจากกัน เรียกว่า การระเหิด<br /><br />ดังนั้น สารต่างๆ สามารถเปลี่ยนแปลงจากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่งได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ และความดันของสาร ความแตกต่างระหว่างสถานะ ขึ้นอยู่กับอนุภาคของสารนั้นว่าจะสามารถเคลื่อนที่หรือถูกยึดติดกันได้มากน้อยเพียงใด<br /><br />พลังงานความร้อนทำให้สารเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว และจากของเหลวเป็นแก๊ส ขณะที่สารเปลี่ยนสถานะจากของเหลว เรียกว่า การหลอมเหลว อุณหภูมิของสารจะคงที่ เรียกว่า จุดหลอมเหลวของสาร กระทั่งการหลอมเหลวหมด ถ้าให้ความร้อนต่อไป อุณหภูมิของของเหลวจะเพิ่มขึ้นจนถึงอุณหภูมิหนึ่งของเหลวจะเดือด อุณหภูมิของของเหลวจะคงที่อีกครั้ง ซึ่งเรียกว่า จุดเดือดของสาร ที่ภาวะนี้ของเหลวจะกลายเป็นไอหรือก๊าซ อุณหภูมิของสารจะคงที่จนกระทั่งของเหลวกลายเป็นไอหมด<br /><br />อนุภาคของสาร<br /><br />จอห์น ดอลตัน (John Dalton) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้เสนอแนวคิดว่า "อนุภาคที่เล็กที่สุดของสาร ซึ่งไม่สามารถแบ่งย่อยให้เล็กลงได้อีก เรียกว่า อะตอม" ต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาเกี่ยวกับอะตอมและอนุภาคของสาร กระทั่งได้ทราบว่า อนุภาคของสารที่สำคัญมี 3 ชนิด คือ อะตอม โมเลกุล และไอออน<br /><br />อะตอม (atom) เป็นอนุภาคที่เล็กที่สุดของสารที่อยู่ตามลำพังได้ยาก ซึ่งอะตอมมักจะอยู่รวมกันเป็นอนุภาคที่ใหญ่ขึ้น เรียกว่า โมเลกุล หรืออะตอมอาจรวมกันเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ เรียกว่า โครงผลึก หรือผลึก เช่น เช่น อะตอมของคาร์บอน (C) อะตอมของออกซิเจน (O) รวมกันเป็นโมเลกุลของก๊าซออกซิเจน (O2) เป็นต้น<br /><br />โมเลกุล (molecule) เป็นอนุภาคของสารที่เล็กที่สุดที่สามารถอยู่ในธรรมชาติได้อย่างอิสระ โมเลกุลเกิดจากอะตอมตั้งแต่ 2 อะตอมขึ้นไปมารวมกัน ในทางเคมีจะเขียนแทนโมเลกุลด้วยสัญลักษณ์ของอะตอมที่มารวมกันเรียกว่า สูตรเคมี<br /><br /><br />ตาราง : แสดงตัวอย่างโมเลกุลของสารบางชนิดที่ควรรู้จัก<br /><br />ไอออน (Ion) คือ อะตอมหรือ กลุ่มอะตอมที่มีประจุไฟฟ้า มี 2 ชนิดคือ ไอออนบวก และไอออนลบ เช่น H – (ไฮโดรเจนไอออน) เป็นต้น<br /><br />การจำแนกประเภทของสาร<br /><br />สมบัติของสารบางประเภทจำเป็นต้องแบ่งสารออกเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้ง่ายในการจำ โดยทั่วไปนิยมใช้สมบัติทางกายภาพด้านใดด้านหนึ่งของสารเป็นเกณฑ์ในการจำแนกสาร<br /><br />เกณฑ์ในการจำแนกสาร คือ เงื่อนไขที่ใช้ในการจัดกลุ่มสาร ซึ่งมีเกณฑ์ดังนี้<br /><br /> ใช้สถานะของสารเป็นเกณฑ์ มี 3 สถานะ คือ<br /><br /> ของแข็ง เช่น ไม้ เหล็ก หิน ทราย ทองแดง เงิน ดีบุก ด่างทับทิม สังกะสี เป็นต้น<br /><br /> ของเหลว เช่น น้ำ น้ำเกลือ น้ำเชื่อม น้ำอัดลม เอทานอล น้ำกลั่น เป็นต้น<br /><br /> ก๊าซ เช่น ก๊าซหุงต้ม แก๊สธรรมชาติ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น<br /><br /> ใช้ความเป็นโลหะเป็นเกณฑ์ แบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ<br /><br /> โลหะ เช่น ทองคำ ทองแดง เงิน เหล็ก ปรอท เป็นต้น<br /><br /> อโลหะ เช่น คาร์บอน ฟอสฟอรัส กำมะถัน ออกซิเจน ไนโตรเจน เป็นต้น<br /><br /> กึ่งโลหะ เช่น ซิลิกอน ซิลิเนียม เจอร์มิเนียม อาร์เซนิก เป็นต้น<br /><br /> ใช้สารละลายน้ำเป็นเกณฑ์ แบ่งได้ เป็น 2 กลุ่ม คือ<br /><br /><br /> สารที่ละลายน้ำ เช่น เกลือแกง น้ำตาลทราย น้ำตาลกลูโคส จุนสี ด่างทับทิม เอทานอล แก๊สแอมโมเนีย กรดแอซิติก เป็นต้น<br /><br /> สารที่ไม่ละลายน้ำ เช่น แป้ง หินปูน ไขมัน น้ำมันพืช พลาสติก เหล็ก ไม้ กำมะถัน<br /> เป็นต้น<br /><br />นักวิทยาศาสตร์นิยมใช้ลักษณะเนื้อสารเป็นเกณฑ์ในการแบ่งประเภทของสาร ซึ่งสามารถแบ่งจำแนกสารได้ ดังนี้<br /><br />แผนผัง : แสดงการจัดจำแนกสารโดยใช้ลักษณะเนื้อสารเป็นเกณฑ์<br /><br />การใช้ลักษณะของเนื้อสารเป็นเกณฑ์นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น สารเนื้อเดียวและสารเนื้อผสม<br /><br />สารเนื้อผสม (heterogeneous mixture) คือ สารที่มีลักษณะของเนื้อสารคละกันไม่ผสมกลมกลือนเป็นเนื้อเดียวกัน และมีอัตราส่วนของสารที่ผสมไม่เท่ากันทุกส่วน เช่น น้ำในคลองมีเศษหิน ดิน ทราย และอื่นๆ ปนอยู่ในน้ำ มองเห็นได้อย่างชัดเจน<br /><br />สารเนื้อเดียว (homogeneous substance) คือ สารที่มีลักษณะของเนื้อสารผสมกลมกลืนกันเป็นเนื้อเดียว และมีอัตราส่วนของผสมเท่ากันทุกส่วน ถ้านำส่วนใดส่วนหนึ่งของสารเนื้อเดียวไปทดสอบจะมีสมบัติเหมือนกันทุกประการ สารเนื้อเดียวบางชนิดประกอบด้วยสารชนิดเดียว เช่น น้ำกลั่น ซึ่งหมายถึง น้ำบริสุทธิ์ที่ไม่มีสิ่งเจือปน เป็นต้น แต่สารเนื้อเดียวบางชนิดประกอบด้วยสารมากกว่ากว่าหนึ่งชนิด เช่น น้ำเกลือ เกิดจาก การนำเกลือไปละลายในน้ำ น้ำเกลือจึงเป็นสารเนื้อเดียวที่ประกอบด้วย น้ำและเกลือแกง เป็นต้น<br /><br />ในสารเนื้อเดียวแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ สารบริสุทธิ์ และสารละลาย<br /><br />สารบริสุทธิ์ หมายถึง สารเนื้อเดียวที่ประกอบไปด้วยสารเพียงชนิดเดียวไม่มีสารอื่นเจือปน เช่น<br /><br /> น้ำกลั่น (H2O) ประกอบด้วยโมเลกุลของน้ำเพียงอย่างเดียว<br /><br /> น้ำตาลกลูโคส (C6H12O6) ประกอบด้วยโมเลกุลของกลูโคสเพียงอย่างเดียว<br /><br /> ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ประกอบด้วยโมเลกุลของคาร์บอนไดออกไซด์เพียงอย่างเดียว<br /><br />น้องๆ จะเห็นว่าสารบริสุทธิ์แต่ละชนิดมีองค์ประกอบต่างกัน บางชนิดประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิดเดียวเรียกว่า ธาตุ แต่สารบริสุทธิ์บางชนิดประกอบด้วยอะตอมต่างชนิดกันเรียกว่า สารประกอบ<br /><br />ธาตุ (element) เป็นสารบริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิดเดียว ธาตุจึงเป็นสารที่ไม่สามารถแบ่งย่อยลงไปได้อีก เช่น เงิน ทอง คาร์บอน ออกซิเจน เป็นต้น ในปัจจุบันมีการค้นคว้าพบธาตุประมาณ 107 ธาตุ เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ 92 ธาตุ ที่เหลือเป็นธาตุที่สังเคราะห์ขึ้นในห้องทดลอง ธาตุจำแนกออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้<br /><br /> โลหะ มีสถานะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิปกติ ยกเว้นปรอทที่เป็นโลหะแต่อยู่ในสถานะของเหลว โลหะจะมีผิวเป็นมันวาว มีจุดเดือดสูง และนำไฟฟ้าได้ดี โลหะบางชนิดเป็นสารแม่เหล็ก ตัวอย่างของธาตุโลหะ เช่น เหล็ก ทองแดง สังกะสี แมกนีเซียม เป็นต้น<br /><br /> อโหะ เป็นได้ทั้ง 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว และก๊าซ เช่น กำมะถันเป็นของแข็งสีเหลือง ธาตุโบรมีนเป็นของเหลวสีแดง และคลอรีนเป็นก๊าซสีเขียวอ่อน อโลหะส่วนใหญ่มีสมบัติตรงข้ามกับโลหะ เช่น เปราะ ไม่นำไฟฟ้า มีจุดเดือดต่ำ<br /><br /> ธาตุกึ่งโลหะ เป็นธาตุที่มีสมบัติกึ่งโลหะและอโลหะ เช่น โบรอนเป็นของแข็งสีดำ เปราะ ไม่นำไฟฟ้า มีจุดเดือดสูงถึง 4,000 องศาเซลเซียล ธาตุซิลิคอน เป็นของแข็งสีมันวาว เปราะ นำไฟฟ้าได้เล็กน้อย มีจุดเดือด 3,265 องศาเซลเซียล <br /><br /><br />สารประกอบ (compound) คือ สารที่ประกอบด้วยธาตุตั้งแต่ 2 ชนิด ขึ้นไป มาทำปฏิกิริยาเคมีกันด้วยสัดส่วนที่แน่นอน กลายเป็นสารชนิดใหม่ มีสมบัติแตกต่างไปจากธาตุที่เป็นองค์ประกอบเดิม ตัวอย่างของสารประกอบ เช่น เกลือแกง น้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ แอมโมเนีย เป็นต้น เช่น แอมโมเนียเป็นสารประกอบที่เกิดจากธาตุไนโตรเจน 1 อะตอม และธาตุไฮโดรเจน 3 อะตอม รวมกันเป็นโมเลกุล NH3 ซึ่งมี 4 อะตอมใน 1 โมเลกุล<br /><br /><br />สารละลาย (solution) คือ สารเนื้อเดียวที่ไม่บริสุทธิ์ เกิดจากสารหลายชนิดมารวมกัน โดยไม่เกิดปฏิกิริยาเคมี เช่น น้ำเกลือเกิดจากเกลือแกงละลายในน้ำ น้ำเกลือจะแสดงสมบัติของสารที่ผสมกันทั้งสองชนิด คือ มีรสเค็มของเกลือแกงและเป็นของเหลวใสเหมือนน้ำ ถ้าให้ความร้อนแก่น้ำเกลือจนน้ำระเหยออกไปหมด จะได้เกลือแกงแยกออกจากน้ำ โดยไม่เปลี่ยนแปลงเป็นสารใหม่ เนื่องจากไม่เกิดปฏิกิริยาเคมี สารละลายแบ่งส่วนประกอบได้ 2 ส่วน คือ<br /><br /> ตัวทำละลาย (Solvent) สารที่มีสถานะเดียวกับสารละลายหรือสารที่มีปริมาณมากกว่า<br /><br /> ตัวละลาย (Solute) สารที่มีสถานะต่างจากสารละลายหรือสารที่มีปริมาณน้อยกว่า ตัวละลายในสารละลายแต่ละชนิดอาจมีได้หลายสาร <br /><br /><br />สารแขวนลอยและคอลลอยด์<br /><br />สารไม่บริสุทธิ์เกิดจากสาร 2 ชนิดมารวมกันเป็นสารผสม สารผสมนั้น อนุภาคของสารหนึ่งแทรกอยู่ระหว่างอนุภาคของสารอีกสารหนึ่ง สารที่มีลักษณะของอนุภาคสอดแทรกอยู่ในตัวกลางที่เป็นของเหลวอาจเป็นสารแขวนลอย คอลลอย์ หรือสารละลายก็ได้<br /><br />สารแขวนลอย (suspension) คือ เป็นสารผสมที่อนุภาคของแข็งมีขนาดใหญ่กว่า 1 Χ 10-4 เซนติเมตร อยู่ในตัวกลางที่เป็นของเหลว มีลักษณะเป็นเนื้อผสมที่อนุภาคไม่รวมเป็นเนื้อเดียวกัน อนุภาคของสารแขวนลอยไม่สามารถผ่านกระดาษกรองและแผ่นเวลโลเฟนได้ เช่น ผงถ่านในน้ำ น้ำคลอง น้ำโคลน เป็นต้น<br /><br />สารคอลลอย์ (colloid) คือ เป็นสารผสมที่อนุภาคของสารมีขนาดอยู่ระหว่าง 1 Χ 10-7 1 Χ 10-4 เซนติเมตร แทรกอยู่ในตัวกลาง ซึ่งตัวกลางมีทั้งของแข็ง ของเหลว และก๊าซ จะมองเห็นลักษณะของสารเป็นเนื้อเดียวกัน คอลลอยด์เป็นของเหลว ลักษณะขุ่น ไม่ตกตะกอน ขนาดของคอลลอยด์สามารถผ่านกระดาษกรองได้ แต่ไม่สามารถผ่านรูพรุนของแผ่นเซลโลเฟนได้ เช่น คอลลอยด์ที่เป็นของแข็งกึ่งของเหลว จำพวก โฟม ฟองน้ำ วุ้น เยลลี่ หรือคอลลอยด์ที่เป็นของเหลว จำพวก นมถั่วเหลือง น้ำสลัด น้ำส้มสายชู หรือคอลลอยด์ที่มีตัวกลางสถานะก๊าซ เช่น หมอก ควันไฟ เป็นต้น<br /><br />สมบัติบางประการของคอลลอยด์ คือ เมื่อผ่านลำแสงเล็กๆ เข้าไปในสารประเภทคอลลอยด์จะเกิดการหักเหและสะท้อนแสงเรียกว่า การกระเจิงของแสง (scattering) ทำให้มองเห็นเป็นลำแสงในคอลลอยด์<br /><br />คอลลอยด์ในชีวิตประจำวัน<br /><br />คอลลอยด์ที่พบในชีวิตประจำวันมีหลายชนิด บางชนิดนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น น้ำกะทิ น้ำสลัด น้ำสบู่ หรือน้ำผงซักฟอก เป็นต้น<br /><br />ของเหลวที่ละลายในกันและกันไม่ได้ เมื่อจะทำให้เป็นคอลลอยด์จะต้องเติมสารบางชนิดเพื่อเป็นตัวประสานลงไป เรียกคอลลอยด์ชนิดนี้ว่า อิมัลชัน (emulsion) และสารที่ทำหน้าที่ประสานให้อนุภาคของของเหลวที่ไม่ละลายรวมกัน สามารถแทรกรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้ในอิมัลชัน เรียกว่า อิมัลซิฟายเออร์ (emulsifier) น้ำสบู่และผงซักฟอกจึงเป็นอิมัลซิฟายเออร์ ระหว่างน้ำและน้ำมัน ส่วนไข่แดงนั้น เป็นอิมัลซิฟายเออร์ในน้ำสลัด<br /><br /><br />สรุปว่า "น้ำและน้ำมันพืชจะแยกกันอยู่เป็นชั้น และน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำมันพืชจะแยกกันอยู่เป็นชั้น เมื่อปิดจุกยางเขย่า และตั้งหลอดทิ้งไว้ ผลที่สังเกตได้ น้ำและน้ำมันพืชจะแยกกันอยู่ในชั้น ส่วนน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำมันพืชจะแยกกันอยู่เป็นชั้น เหมือนเดิม แต่เมื่อใส่น้ำแชมพูลงในหลอดที่ 1 น้ำแชมพูจะรวมกับน้ำได้ และใส่ไข่แดงในหลอดที่ 2 น้ำมันพืชจะรวมกับน้ำส้มสายชู โดยมีไข่แดงทำหน้าที่ประสานให้เป็นเนื้อเดียวกัน"<br /><br /><br />ที่มาข้อมูล : คู่มือครูสาระการเรียนรู้พื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (สสวท) กระทรวงศึกษาธิการ<br />วัชพงษ์ โกมุทธรรมวิบูลย์ และคณะ แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1<br />ประดับ นาคแก้ว และคณะ หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช่วงชั้นที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1(หนังสือเรียนมาตรฐานแม็ค)<br />จำนวนคนอ่าน 28044 คนAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/16016375787333261876noreply@blogger.com1